วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2564

Bio100 wwt as Problotics for Aquaculture บำบัดน้ำเสียในบ่อเลี้ยงกุ้ง

The use of probiotics and bacterial management in shrimp pond aquaculture can be crucial element to the success of production.

Especially for the farming of Pacific white shrimp (Litopenaeus vannamei), the effects of probiotics on the survival, yield and economics (cost & benifit) is well documented.

The mechanisms of how the nitrifying bacteria group (our premier strains of microbes) improve shrimp aquaculture production are :-

  1. managing water conditions, balancing and maintaining water parameters
  2. breaking down & detoxifying the waste from residual shirmp feeds and manures in the bottom soils
  3. producing pedioncins, amino acids and enyzmes (probiotics) benificial to the overall health of the animal inside the digestive tract 
  4. increase the yield, survival and sizes of the shrimp at harvest
  5. reducing feed conversion ratio
  6. improving the income gained through costs reduction

จุลินทรีย์ Bio100Basic ช่วยเพิ่มน้ำยาง

Bio100 Basic ช่วยเพิ่มปริมาณผลผลิตยางพารา

• หน้ายางอ่อนนุ่ม กรีดยางง่าย กรีดได้บ่อยขึ้น น้ายางไหลดี
• ลดปัญหาหน้ายางตายนิ่งจากการติดเชื้อโรคต่างๆโดยการกำจัดทั้งเชื้อรา แบคทีเรียและไวรัส อย่างเฉียบพลัน
• กระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันโรค ลดการติดเชื้อบริเวณหน้ายางทาให้หน้ายางแข็งแรงขึ้น
• ช่วยเพิ่มน้ำยางให้มีปริมาณมากขึ้นและคุณภาพดีขึ้น โมเลกุลยาวขึ้นและน้ำยางข้นขึ้น

วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2560

สารเสริมชีวภาพ โปรไบโอติกส์สำหรับสัตว์


BX-1 คือ อะไร ?



BX-1 คือส่วนผสมของจุลชีพสายพันธ์พิเศษ (perfect cocktail of active microbials)ใน
อัตราส่วนที่กำหนดมาอย่างเฉพาะเจาะจง อันประกอบด้วย
แบคทีเรียที่ผลิตกรดแลดติค (LAB) - Pediococcus Pentosaceus
ยีสต์ 2 สายพันธ์ - Pichia Farinosa และ Dekkera Bruxellensis
ที่สามารถทำปฎิกริยาเมทาบอริซึมเพื่อสร้างกรดอินทรีย์ bacteriocin ไวตามิน และเอนไซม์




หน้าที่หลักของ BX-1
  • เป็นสารเสริมชีวภาพที่ก่อให้เกิดประโยชน์ด้านสุขภาพและสรีระ นอกเหนือจากการได้รับ
  • สารอาหารตามปกติ
  • ช่วยการย่อยและการดูดซึมอาหาร
  • ช่วยให้เกิดความสมดุลของจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหาร
  • ช่วยเพิ่มระบบภูมิต้านทานโลก ป้องการการติดเชื้อ
  • กำจัดจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค


Pediococcus Pentosaceus
ผลิตกรดแลคติค และชีวนะ
มีฤทธิ์ค่าเชื้อแบคทีเรียแกรมลบที่เป็นโทษ: Vibio Cholerae, E.Coli., Samolnella,
Pseudomonas Proeus, Clamphylobacter
มีฤทธิ์ค่าเชื้อแบคทีเรียแกรมบวกที่เป็นโทษ: Clostridium Botulinum, Clostridium
Perfiengens, Straphyloccus Aereus.

Pechia Farinosa
ยีสต์ที่พบน้อยมากในธรรมชาติ ผลิตสาร Killer Toxins ที่ทำลายความเป็นพิษ (denature) ของ
สารพิษอะฟลาท็อกซิน (Aflatoxins), ไมโครท็อกซิน (Microtoxins)และ เอ็นโดท็อกซิน
(Endotoxins)

Dekkara Bruxellensis
ยีสต์ที่ช่วยย่อยเยื่อไย แป้ง น้ำตาล ช่วยผลิตเอนไซม์ในการย่อยวัตถุดิบอาหารสัตว์

วันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560

Basic Microbiology

▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒
=============================================
+++++++++++ ✤ ความรู้การเกษตรประจำวัน ✤ +++++++++++
=============================================
▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒ ✤ เรื่อง ✤ ▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒
=============================================
@@@@@@@@@@ ✤
จุลินทรีย์ มีกี่ประเภท ✤ @@@@@@@@@@
=============================================

✤✤✤จุลินทรีย์ มีกี่ประเภท✤✤✤
จุลินทรีย์เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ประกอบด้วยเซลล์เดียว (Unicellular) หรือหลายเซล์ (Multicellular) แต่ทว่าเซลล์เหล่านั้นต่างก็เป็นเซลล์ชนิดเดียวกันและมีรูปร่างเหมือนกัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เพื่อทำหน้าที่เฉพาะเหมือนในสิ่งมีชีวิตชั้นสูง จุลินทรีย์สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆตามประเภทของเซลล์ คือ
1.โปรคารีโอต คือ ไม่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส เช่น แบคทีเรียและสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน
2.ยูคารีโอต คือ มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส เช่น เชื้อรา โปรโตซัว และสาหร่ายต่างๆ ยกเว้นสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน
ประเภทของจุลินทรีย์
1. แบคทีเรีย (Bacteria)
2. เชื้อรา (Fungi)
3. โปรโตซัว (Protozoa)
4. สาหร่าย (Algae)
5. ไวรัส (Virus)
มาทำความรู้จักกับจุลินทรีย์แต่ละประเภทกันนะครับ
1. แบคทีเรีย (Bacteria)
เป็นจุลินทรีย์ที่มีขนาดเล็กมาก ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ที่มีกำลังขยายสูงส่องดูจึงมองเห็นประกอบด้วยเซลล์เพียงเซลล์เดียว และเป็นพวกโปรคารีโอต มีผนังเซลล์ที่คงรูป (Rigid cell wall) ทำให้แบคทีเรียรักษารูปร่างได้ แบคทีเรียมีรูปร่างได้หลายแบบมีเพศและไม่มีเพศ โดยแบบมีเพศเกิดจากการรวมตัวของเซลล์ 2 เซลล์ ส่วนการสืบพันธุ์แบบไม่มีเพศโดยทั่วไปเป็นแบบ Binary fission บ้างก็เป็นการแตกหน่อ (Budding) แบคทีเรียสามารถพบได้ทั่วๆไปไม่ว่าจะเป็นดิน น้ำ อากาศ มีทั้งชนิดที่ให้ประโยชน์และบางชนิดก็เป็นโทษ ตัวอย่างของแบคทีเรีย เช่น Bacillus spp. Lactobacillus spp. Streptococcus spp. Staphylococcus spp. Escherichia coli Proteus vulgaris Spirillum spp. และ Streptomyces spp. เป็นต้น
2. เชื้อรา (Fungi)
เป็นจุลินทรีย์ที่มีเซลล์แบบยูคารีโอต มีทั้งชนิดเซลล์เดี่ยวคือยีสต์ (Yeast) ซึ่งส่วนใหญ่สืบพันธุ์ โดยการแตกหน่อ และหลายเซลล์ซึ่งได้แก่ รา (Mold) โดยมีรูปร่างเป็นเส้นใย (Filamentous) ส่วนของเส้นใยเรียกว่า ไฮฟี (Hyphae) ถ้าไฮฟีมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเรียกว่า ไมซีเลียม (Mycelium) เส้นใยมีทั้งแบบมีผนังกั้นและไม่มีผนังกั้น ผนังเซลล์ของเชื้อราแตกต่างจากผนังเซลล์ของแบคทีเรียขนาดและรูปร่างของเชื้อราแตกต่างกันไป บางชนิดต้องใช้กล้องส่องดู เช่าน เซลล์ยีสต์ ที่โตขึ้นมาได้แก่ พวกที่มีลักษณะเป็นเส้นใย และที่สามารถมองเป็นด้วยตาเปล่า ได้แก่ เห็ด (Mushroom) ซึ่งเกิดจากเส้นใยของเชื้อรามาอยู่รวมกันและอัดแน่นเป็นดอกเห็นขนราดใหญ่ เชื้อราเจริญได้ดีในที่ที่มีความเป็นกรดสูง อาหารเลี้ยงเชื้อราจึงปรับ pH ประมาณ 4.0 ราทุกชนิดเป็นพวกที่ต้องการอากาศส่วนใหญ่ชอบอุณหภูมิปานกลาง การสืบพันธุ์ได้ทั้งแบบมีเพศและไม่มีเพศ ต้วอย่างของเชื้อราพวกที่เป็นเซลล์เดียว เช่น ยีส Saccharomyces cerevisiae ส่วนพวกหลายเซลล์ที่เป็นเส้นใย เช่น Rhizopus spp. Aspergillus spp. Penicilliun spp. และเห็น เช่น เห็ดฟาง Volvariella volvaceae
3. โปรโตซัว (Protozoa)
ลักษณะเซลล์เป็นเซลล์เดียวและเป็นพวกยูคารีโอตแต่ไม่มีผนังเซลล์ เป็นจุลินทรีย์ที่มีวิวัฒนาการของเซลล์ไปมากที่สุด การแพร่พันธุ์มีทั้งแบบใช้เพศและไม่ใช้เพศ โดยแบบไม่มีเพศอาจจะเป็น Binary fission การแตกหน่อ หรือการสั้งสปอร์ เป็นต้น สามารถเคลื่อนที่ได้ในบางช่วงของวงจรชีวิต ขนาดและรูปร่างของโปรโตซัวมีความแตกต่างกันมาก เช่น รูปกลม รูปไข่ รูปแท่งหรือท่อน บางชนิดมีรูปร่างหลายแบบในช่วงการเจริญ บางชนิดเห็นได้ด้วยตาเปล่า พบได้ทั่วไปในดิน น้ำ อากาศ และในสิ่งมีชีวิต ปกติโปรโตซัวกินแบคทีเรียเป็นอาหาร ดังนั้นบริเวณที่มีแบคทีเรียมาย่อมมีโปรโตซัวมากตามไปด้วย และสำหรับโปรโตซัวที่เป็นปรสิตของสัตว์ พวกนี้จะเลี้ยงอย่างอิสระไม่ได้ต้องอยู่กับเซลล์เจ้าบ้าน (Host cell) เท่านั้น โปรโตซํวมีการเคลื่อนที่ 3 แบบ ด้วยกัน คือ
1. ใช้ขาเทียม (Pseudopodium) ซึ่งเกิดจากการยืดหดของไซโทพลาซึม การเคลื่อนไหวแบบนี้เรียกว่า Ameboid movement เช่น Amoeba
2. ใช้รยางค์ขนาดยาว (Flagella) เช่น Euglena
3. ใช้ขนเล็กๆ เรียกว่า ซีเลีย โบกพัด เช่น Paramecium
4. สาหร่าย (Algae)
เป็นจุลินทรีย์ที่สังเคราะห์แสงได้ เพราะมีคลอโตฟีลล์ การสังเคราะห์แสงเหมือนพืชชั้นสูง นอกจากนี้ยังมีรงควัตถุ (Pigment) อื่นๆอีก ทำให้สาหร่ายมีสีต่างๆกันไป เช่น สีเขียว สีแดง สีน้ำตาล สีน้ำเงิน ซึ่งใช้เป็นลักษณะสำคัญในการจัดจำแนกหมวดหมู่ของสาหร่าย หรืออาจใช้ประเภทของคลอโรฟิลล์ในการจัดจำแนกก็ได้เช่นกัน ลักษณะของเซลล์เป็นพวกยูคารีโอต มีทั้งพวกที่เป็นเซลล์เดีวมีขนาดเล็กต้องส่องดูด้วยกล้อง บางชนิดมีหลายเซลล์ขนาดใหญ่อาจยาวถึง 100 ฟุต ลักษณะรูปร่างต่างกันไป เช่น รูปกลม รูปท่อน รูปเกลียว รูปแฉก รูปกระสวย บางชนิดเซลล์อาจอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเช่าน Volvox บ้างต่อกันเป็นสาย เช่น Anabacna บ้างเรียงกันเป็นแผ่น เช่น Ulva สาหร่ายพวกที่เคลื่อนที่ได้จะอาศัยแฟลกเจลลา หรือเท้าเทียม การสืบพันธุ์มีทั้งแบบมีเพศและไม่มีเพศ เนื่องจากสาหร่ายสังเคราะห์แสงได้บริเวณที่แสงส่องถึงจึงสามารถพบสาหร่ายได้ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำ พื้นดิน และพื้นผิวที่ชื้นแม้กระทั่งหิน
5. ไวรัส (Virus)
ไวรัสไม่สามารถจัดเป็นเซลล์ได้ เพราะขาดโครงสร้างและองค์ประกอบของเซลล์อีกทั้งไม่สามารถอาศัยอยู่ได้อย่างอิสระได้ จำเป็นต้องอาศัยอยู่ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เพื่อดำรงชีวิตและเพื่อการเพิ่มจำนวนเรียกลักษณะนี้ว่า Obligate intracellular parasite โครงสร้างของไวรัสจะประกอบด้วยกรดนิวคลีอิกที่เป็น DNA หรือ RNA เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น และมีโปรตีนที่เรียกว่า Capsid หุ้มอยู่ นอกจากนี้อาจมีเยื่อหุ้มที่เรียกว่า Envelope ไวรัสมีขนาดเล็มากประมาณ 20-25 นาโนเมตร จนถึง 200-300 นาโนเมตร จึงไม่สามารถมองเห็นด้วยกล้องจุลทรรศน์ธรรมดา หากแต่ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน ตามธรรมชาติพบไวรัสได้ทั่วไปโดยอาศัยอยู่กับเซลล์ของสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ หรือมนุษย์ ตลอดจนจุลินทรีย์


ติดตามข่าวสารและกด like ได้ที่  https://www.facebook.com/Bio100Percent/
=============================================
ขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือ นิเวศวิทยาของจุลินทรีย์ ของรองศาตราจารย์ ดร.ดวงพร คันธโชติ
http://organicmellow.blogspot.com/2013/08/blog-post_6.html

☼ ความรู้เรื่องจุลินทรีย์ประจำวัน ☼
✏ microbial 101 : จุลินทรีย์ 101 📓

จุลินทรีย์มี 2 ประเภท
1. ประเภทต้องการอากาศ (Aerobic Bacteria)
2. ประเภทไม่ต้องการอากาศ (Anaerobic Bacteria) 
เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควรต้องมีจุลินทรีย์ทั้ง 2 ประเภทในผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์ชีวภาพ เพื่อให้กระบวนการทำงาน ผลิตสารเอนไซม์ออกฤทธิ์เกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง

☼ ความรู้เรื่องจุลินทรีย์ประจำวัน ☼
✏ microbial 101 : จุลินทรีย์ 101 📓
จุลินทรีย์ สายพันธู์
Pediococcus pentosaceus 
-----------------------------------
สามารถย่อยอินทรีย์สารให้เป็น Lactic Acid และผลิตสารชีวนะ โพลีเปปไตท์ Bacteriocines ที่เรียกว่า Pediocins
มีฤทธิ์ค่าเชื้อแบคทีเรียแกรมลบที่เป็นโทษ: Vibio Cholerae, E.Coli., Samolnella, Pseudomonas Proeus, Clamphylobacter
มีฤทธิ์ค่าเชื้อแบคทีเรียแกรมบวกที่เป็นโทษ: Clostridium Botulinum, Clostridium Perfiengens, Straphyloccus Aereus.
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
Pediococcus pentosaceus are coccus shaped microbes, Gram-positive, non-motile, non-spore forming, and are categorized as a “lactic acid bacteria” [1].
Pediococcus pentosaceus, like most lactic acid bacteria, are anaerobic and ferment sugars. Since the end product of metabolism is a kind of acid, Pediococcus pentosaceus are acid tolerant[1].
Pediococcus pentosaceus bacteria is being cultured and researched for its ability to produce an antimicrobial agent (bacteriocins) as well its use in food preservation [6].

☼ ความรู้เรื่องจุลินทรีย์ประจำวัน ☼
✏ microbial 101 : จุลินทรีย์ 101 📓
จุลินทรีย์ (ยีสต์) สายพันธู์
Pechia Farinosa

ยีสต์ที่พบน้อยมากในธรรมชาติ (พบเพียง 5 จากยีสต์กว่า 10,000 สายพันธุ์)
ผลิตสาร Killer Toxins ที่ทำลายความเป็นพิษ (denature) ของสารพิษอะฟลาท็อกซิน (Aflatoxins), ไมโครท็อกซิน (Microtoxins)และ เอ็นโดท็อกซิน (Endotoxins)
ช่วยลดปริมาณแอมโมเนียที่ถ่ายออกมาพน้อมกับมูลสัตว์ ช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ที่สร้างกรดแลคติคในระบบลำไส้ ช่วยเสริมโปรไบโอติคส์ที่เป็นประโยชนืต่อสุขภาพสัตว์
Pichia farinosa SKM-1, …… proved to be effective in improving the laying performance and egg quality, and they were powerful in reducing the ammonia production from the livestock manure. Futhermore, no adverse effect on the experimental animals has been detected during and/ or after experiments, thus these three yeast strains are regarded to be safe, although we did not present the results on the safety test of the strains. Also, Pichia farinosa SKM- 1, …… have an ability to increase the intestinal lactic acid producing bacteria. These results provide important useful characteristics of these probiotics that are safe for the host as well as being efficient.