=============================================
+++++++++++ ✤ ความรู้การเกษตรประจำวัน ✤ +++++++++++
=============================================
▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒ ✤ เรื่อง ✤ ▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒
=============================================
@@@@@@@@@@ ✤ ประโยชน์ของจุลินทรีย์ในด้านต่างๆ ✤ @@@@@@@@@@
=============================================
จุลินทรีย์กับสิ่งแวดล้อม
โลกของเรามีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ มากมาย ก่อให้เกิด
สารพิษตกค้างพวกโลหะหนักหรือสารอินทรีย์ในสิ่งแวดล้อม จุลินทรีย์บางพวก
สามารถย่อยสลายหรือทำให้สารพิษเสื่อมสภาพ จึงมีการนำจุลินทรีย์มาย่อยสลาย
สารอินทรีย์ที่สะสมอยู่โดยเปลี่ยนเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือมีเทน ที่นำไปใช้
เป็นพลังงานได้ คราบน้ำมันในทะเลทำให้สิ่งมีชีวิตในน้ำขึ้นมาหายใจไม่ได้มี
แบคทีเรียหลายชนิดสามารถย่อยคราบน้ำมันหรือทำให้คราบน้ำมันแตกออกเป็นหยด
เล็กๆจมลงสู่ก้นทะเลได้แบคทีเรียในกลุ่มเมธาโนโทรบสามารถสร้างเอนไซม์ในการ
ย่อยสลายคราบน้ำมันตกค้างให้กลายเป็นสารที่ไม่เป็นพิษได้จุลินทรีย์ยังช่วยกำจัดขยะ
พวกวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรและซากสัตว์ต่าง ๆ โดยย่อยสลายวัสดุเหลือทิ้งพวก
สารอนินทรีย์ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส ในดิน เป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมและรักษาสมดุลในธรรมชาติ
สำหรับสารปนเปื้อนในน้ำเสียนั้นสามารถแบ่งได้เป็น 3 ชนิดด้วยกัน คือ
1. สารอินทรีย์จะพบได้ในน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร น้ำเสียจากบ้านเรือน โดยสาร
อินทรีย์จะเป็นสาเหตุให้น้ำเสียนั้นมีค่า BOD (Biological Oxygen Demand) สูง
2. สารอนินทรีย์จะพบได้ในน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมผงซักฟอก น้ำเสียจากบ้านเรือน โดย สา
รอนินทรีย์จะเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้สาหร่ายและวัชพืชเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว เช่น ฟอสฟอรัส และ
ไนโตรเจน
3. จุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค เช่น น้ำเสียที่มาจากโรงพยาบาล อาจจะมีจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคปนเปื้อน
ออกมาเช่น จุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคอุจจาระร่วง ไวรัสตับอักเสบ ดังนั้นการบำบัดน้ำเสียก็คือการกำจัดสิ่ง
ปนเปื้อนต่าง ๆ เช่น สารเคมีและจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในน้ำเสียให้เหลือน้อยที่สุดที่จะไม่เป็นอันตรายเมื่อปล่อยลงสู่
แหล่งน้ำสาธารณะ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง
ตัวอย่างจุลินทรีย์ที่ช่วยในการบำบัดน้ำเสีย ได้แก่
– จุลินทรีย์พวก Aerobic เป็นจุลินทรีย์ที่ต้องการอากาศในการเจริญและจะเจริญอยู่ด้านบน จุลินทรีย์กลุ่ม
นี้จะช่วยย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำเสียให้เป็นคาร์บอเนต ไนเตรต แอมโมเนีย ฟอสเฟตและซัลเฟต
เช่น แบคทีเรียพวกPseudomonas, Zoogloea เป็นจุลินทรีย์พวก Heterotrophic ส่วนเชื้อราก็จะเป็นพวก
Fusarium, Ascoidea, Trisporon สำหรับจุลินทรีย์ที่เจริญในชั้นล่างส่วนใหญ่จะเป็นพวก Autotrophic
nitrifying bacteria เช่น Nitrosomonas ซึ่งจะ oxidize แอมโมเนียไปเป็นไนไตรต และ Nitrobacter จะ
oxidize ไนไตรตไปเป็นไนเตรต
– จุลินทรีย์กลุ่ม Anaerobic เป็นจุลินทรีย์พวกนี้ไม่ต้องการใช้ออกซิเจนเพื่อการเจริญ จุลินทรีย์กลุ่มนี้จะ
ช่วยย่อยตะกอนที่เหลือจากกลุ่ม Aerobic
– จุลินทรีย์กลุ่ม Acid-forming เป็นพวก obligate aerobes ซึ่งจะใช้ไนเตรตเป็น electron
– จุลินทรีย์กลุ่ม Methane-forming ส่วนใหญ่จะเป็นจุลินทรีย์พวก strictly anaerobes เช่น
Methanobacterium Methanobacillus และ Methanococcus ซึ่งจะสามารถเปลี่ยนอะซิเตตไฮไดรเจน และ
คาร์บอนไดออกไซด์ ให้เป็น มีเทน (CH4) ได้
สาหร่ายบางชนิด เช่น Nostoc muscorum , Nostoc paludosum สามารถดึงไนโตรเจนและดึงสารประกอบ
พวกปูนออกจากน้ำเป็นการช่วยลดความกระด้างของน้ำทำให้พืชเจริญได้ดีเมื่อสาหร่ายตายก็จะกลายเป็นปุ๋ยทำ
ให้ดินสามารถอุ้มน้ำได้ดีขึ้น และช่วยป้องกันการกัดเซาะของผิวดิน
– จุลินทรีย์กลุ่ม Methane-forming ส่วนใหญ่จะเป็นจุลินทรีย์พวก strictly anaerobes เช่น
Methanobacterium Methanobacillus และ Methanococcus ซึ่งจะสามารถเปลี่ยนอะซิเตตไฮไดรเจน และ
คาร์บอนไดออกไซด์ ให้เป็น มีเทน (CH4) ได้
สาหร่ายบางชนิด เช่น Nostoc muscorum , Nostoc paludosum สามารถดึงไนโตรเจนและดึงสารประกอบ
พวกปูนออกจากน้ำเป็นการช่วยลดความกระด้างของน้ำทำให้พืชเจริญได้ดีเมื่อสาหร่ายตายก็จะกลายเป็นปุ๋ยทำ
ให้ดินสามารถอุ้มน้ำได้ดีขึ้น และช่วยป้องกันการกัดเซาะของผิวดิน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น