วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2560

สารเสริมชีวภาพ โปรไบโอติกส์สำหรับสัตว์


BX-1 คือ อะไร ?



BX-1 คือส่วนผสมของจุลชีพสายพันธ์พิเศษ (perfect cocktail of active microbials)ใน
อัตราส่วนที่กำหนดมาอย่างเฉพาะเจาะจง อันประกอบด้วย
แบคทีเรียที่ผลิตกรดแลดติค (LAB) - Pediococcus Pentosaceus
ยีสต์ 2 สายพันธ์ - Pichia Farinosa และ Dekkera Bruxellensis
ที่สามารถทำปฎิกริยาเมทาบอริซึมเพื่อสร้างกรดอินทรีย์ bacteriocin ไวตามิน และเอนไซม์




หน้าที่หลักของ BX-1
  • เป็นสารเสริมชีวภาพที่ก่อให้เกิดประโยชน์ด้านสุขภาพและสรีระ นอกเหนือจากการได้รับ
  • สารอาหารตามปกติ
  • ช่วยการย่อยและการดูดซึมอาหาร
  • ช่วยให้เกิดความสมดุลของจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหาร
  • ช่วยเพิ่มระบบภูมิต้านทานโลก ป้องการการติดเชื้อ
  • กำจัดจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค


Pediococcus Pentosaceus
ผลิตกรดแลคติค และชีวนะ
มีฤทธิ์ค่าเชื้อแบคทีเรียแกรมลบที่เป็นโทษ: Vibio Cholerae, E.Coli., Samolnella,
Pseudomonas Proeus, Clamphylobacter
มีฤทธิ์ค่าเชื้อแบคทีเรียแกรมบวกที่เป็นโทษ: Clostridium Botulinum, Clostridium
Perfiengens, Straphyloccus Aereus.

Pechia Farinosa
ยีสต์ที่พบน้อยมากในธรรมชาติ ผลิตสาร Killer Toxins ที่ทำลายความเป็นพิษ (denature) ของ
สารพิษอะฟลาท็อกซิน (Aflatoxins), ไมโครท็อกซิน (Microtoxins)และ เอ็นโดท็อกซิน
(Endotoxins)

Dekkara Bruxellensis
ยีสต์ที่ช่วยย่อยเยื่อไย แป้ง น้ำตาล ช่วยผลิตเอนไซม์ในการย่อยวัตถุดิบอาหารสัตว์

วันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560

Basic Microbiology

▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒
=============================================
+++++++++++ ✤ ความรู้การเกษตรประจำวัน ✤ +++++++++++
=============================================
▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒ ✤ เรื่อง ✤ ▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒
=============================================
@@@@@@@@@@ ✤
จุลินทรีย์ มีกี่ประเภท ✤ @@@@@@@@@@
=============================================

✤✤✤จุลินทรีย์ มีกี่ประเภท✤✤✤
จุลินทรีย์เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ประกอบด้วยเซลล์เดียว (Unicellular) หรือหลายเซล์ (Multicellular) แต่ทว่าเซลล์เหล่านั้นต่างก็เป็นเซลล์ชนิดเดียวกันและมีรูปร่างเหมือนกัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เพื่อทำหน้าที่เฉพาะเหมือนในสิ่งมีชีวิตชั้นสูง จุลินทรีย์สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆตามประเภทของเซลล์ คือ
1.โปรคารีโอต คือ ไม่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส เช่น แบคทีเรียและสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน
2.ยูคารีโอต คือ มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส เช่น เชื้อรา โปรโตซัว และสาหร่ายต่างๆ ยกเว้นสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน
ประเภทของจุลินทรีย์
1. แบคทีเรีย (Bacteria)
2. เชื้อรา (Fungi)
3. โปรโตซัว (Protozoa)
4. สาหร่าย (Algae)
5. ไวรัส (Virus)
มาทำความรู้จักกับจุลินทรีย์แต่ละประเภทกันนะครับ
1. แบคทีเรีย (Bacteria)
เป็นจุลินทรีย์ที่มีขนาดเล็กมาก ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ที่มีกำลังขยายสูงส่องดูจึงมองเห็นประกอบด้วยเซลล์เพียงเซลล์เดียว และเป็นพวกโปรคารีโอต มีผนังเซลล์ที่คงรูป (Rigid cell wall) ทำให้แบคทีเรียรักษารูปร่างได้ แบคทีเรียมีรูปร่างได้หลายแบบมีเพศและไม่มีเพศ โดยแบบมีเพศเกิดจากการรวมตัวของเซลล์ 2 เซลล์ ส่วนการสืบพันธุ์แบบไม่มีเพศโดยทั่วไปเป็นแบบ Binary fission บ้างก็เป็นการแตกหน่อ (Budding) แบคทีเรียสามารถพบได้ทั่วๆไปไม่ว่าจะเป็นดิน น้ำ อากาศ มีทั้งชนิดที่ให้ประโยชน์และบางชนิดก็เป็นโทษ ตัวอย่างของแบคทีเรีย เช่น Bacillus spp. Lactobacillus spp. Streptococcus spp. Staphylococcus spp. Escherichia coli Proteus vulgaris Spirillum spp. และ Streptomyces spp. เป็นต้น
2. เชื้อรา (Fungi)
เป็นจุลินทรีย์ที่มีเซลล์แบบยูคารีโอต มีทั้งชนิดเซลล์เดี่ยวคือยีสต์ (Yeast) ซึ่งส่วนใหญ่สืบพันธุ์ โดยการแตกหน่อ และหลายเซลล์ซึ่งได้แก่ รา (Mold) โดยมีรูปร่างเป็นเส้นใย (Filamentous) ส่วนของเส้นใยเรียกว่า ไฮฟี (Hyphae) ถ้าไฮฟีมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเรียกว่า ไมซีเลียม (Mycelium) เส้นใยมีทั้งแบบมีผนังกั้นและไม่มีผนังกั้น ผนังเซลล์ของเชื้อราแตกต่างจากผนังเซลล์ของแบคทีเรียขนาดและรูปร่างของเชื้อราแตกต่างกันไป บางชนิดต้องใช้กล้องส่องดู เช่าน เซลล์ยีสต์ ที่โตขึ้นมาได้แก่ พวกที่มีลักษณะเป็นเส้นใย และที่สามารถมองเป็นด้วยตาเปล่า ได้แก่ เห็ด (Mushroom) ซึ่งเกิดจากเส้นใยของเชื้อรามาอยู่รวมกันและอัดแน่นเป็นดอกเห็นขนราดใหญ่ เชื้อราเจริญได้ดีในที่ที่มีความเป็นกรดสูง อาหารเลี้ยงเชื้อราจึงปรับ pH ประมาณ 4.0 ราทุกชนิดเป็นพวกที่ต้องการอากาศส่วนใหญ่ชอบอุณหภูมิปานกลาง การสืบพันธุ์ได้ทั้งแบบมีเพศและไม่มีเพศ ต้วอย่างของเชื้อราพวกที่เป็นเซลล์เดียว เช่น ยีส Saccharomyces cerevisiae ส่วนพวกหลายเซลล์ที่เป็นเส้นใย เช่น Rhizopus spp. Aspergillus spp. Penicilliun spp. และเห็น เช่น เห็ดฟาง Volvariella volvaceae
3. โปรโตซัว (Protozoa)
ลักษณะเซลล์เป็นเซลล์เดียวและเป็นพวกยูคารีโอตแต่ไม่มีผนังเซลล์ เป็นจุลินทรีย์ที่มีวิวัฒนาการของเซลล์ไปมากที่สุด การแพร่พันธุ์มีทั้งแบบใช้เพศและไม่ใช้เพศ โดยแบบไม่มีเพศอาจจะเป็น Binary fission การแตกหน่อ หรือการสั้งสปอร์ เป็นต้น สามารถเคลื่อนที่ได้ในบางช่วงของวงจรชีวิต ขนาดและรูปร่างของโปรโตซัวมีความแตกต่างกันมาก เช่น รูปกลม รูปไข่ รูปแท่งหรือท่อน บางชนิดมีรูปร่างหลายแบบในช่วงการเจริญ บางชนิดเห็นได้ด้วยตาเปล่า พบได้ทั่วไปในดิน น้ำ อากาศ และในสิ่งมีชีวิต ปกติโปรโตซัวกินแบคทีเรียเป็นอาหาร ดังนั้นบริเวณที่มีแบคทีเรียมาย่อมมีโปรโตซัวมากตามไปด้วย และสำหรับโปรโตซัวที่เป็นปรสิตของสัตว์ พวกนี้จะเลี้ยงอย่างอิสระไม่ได้ต้องอยู่กับเซลล์เจ้าบ้าน (Host cell) เท่านั้น โปรโตซํวมีการเคลื่อนที่ 3 แบบ ด้วยกัน คือ
1. ใช้ขาเทียม (Pseudopodium) ซึ่งเกิดจากการยืดหดของไซโทพลาซึม การเคลื่อนไหวแบบนี้เรียกว่า Ameboid movement เช่น Amoeba
2. ใช้รยางค์ขนาดยาว (Flagella) เช่น Euglena
3. ใช้ขนเล็กๆ เรียกว่า ซีเลีย โบกพัด เช่น Paramecium
4. สาหร่าย (Algae)
เป็นจุลินทรีย์ที่สังเคราะห์แสงได้ เพราะมีคลอโตฟีลล์ การสังเคราะห์แสงเหมือนพืชชั้นสูง นอกจากนี้ยังมีรงควัตถุ (Pigment) อื่นๆอีก ทำให้สาหร่ายมีสีต่างๆกันไป เช่น สีเขียว สีแดง สีน้ำตาล สีน้ำเงิน ซึ่งใช้เป็นลักษณะสำคัญในการจัดจำแนกหมวดหมู่ของสาหร่าย หรืออาจใช้ประเภทของคลอโรฟิลล์ในการจัดจำแนกก็ได้เช่นกัน ลักษณะของเซลล์เป็นพวกยูคารีโอต มีทั้งพวกที่เป็นเซลล์เดีวมีขนาดเล็กต้องส่องดูด้วยกล้อง บางชนิดมีหลายเซลล์ขนาดใหญ่อาจยาวถึง 100 ฟุต ลักษณะรูปร่างต่างกันไป เช่น รูปกลม รูปท่อน รูปเกลียว รูปแฉก รูปกระสวย บางชนิดเซลล์อาจอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเช่าน Volvox บ้างต่อกันเป็นสาย เช่น Anabacna บ้างเรียงกันเป็นแผ่น เช่น Ulva สาหร่ายพวกที่เคลื่อนที่ได้จะอาศัยแฟลกเจลลา หรือเท้าเทียม การสืบพันธุ์มีทั้งแบบมีเพศและไม่มีเพศ เนื่องจากสาหร่ายสังเคราะห์แสงได้บริเวณที่แสงส่องถึงจึงสามารถพบสาหร่ายได้ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำ พื้นดิน และพื้นผิวที่ชื้นแม้กระทั่งหิน
5. ไวรัส (Virus)
ไวรัสไม่สามารถจัดเป็นเซลล์ได้ เพราะขาดโครงสร้างและองค์ประกอบของเซลล์อีกทั้งไม่สามารถอาศัยอยู่ได้อย่างอิสระได้ จำเป็นต้องอาศัยอยู่ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เพื่อดำรงชีวิตและเพื่อการเพิ่มจำนวนเรียกลักษณะนี้ว่า Obligate intracellular parasite โครงสร้างของไวรัสจะประกอบด้วยกรดนิวคลีอิกที่เป็น DNA หรือ RNA เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น และมีโปรตีนที่เรียกว่า Capsid หุ้มอยู่ นอกจากนี้อาจมีเยื่อหุ้มที่เรียกว่า Envelope ไวรัสมีขนาดเล็มากประมาณ 20-25 นาโนเมตร จนถึง 200-300 นาโนเมตร จึงไม่สามารถมองเห็นด้วยกล้องจุลทรรศน์ธรรมดา หากแต่ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน ตามธรรมชาติพบไวรัสได้ทั่วไปโดยอาศัยอยู่กับเซลล์ของสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ หรือมนุษย์ ตลอดจนจุลินทรีย์


ติดตามข่าวสารและกด like ได้ที่  https://www.facebook.com/Bio100Percent/
=============================================
ขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือ นิเวศวิทยาของจุลินทรีย์ ของรองศาตราจารย์ ดร.ดวงพร คันธโชติ
http://organicmellow.blogspot.com/2013/08/blog-post_6.html

☼ ความรู้เรื่องจุลินทรีย์ประจำวัน ☼
✏ microbial 101 : จุลินทรีย์ 101 📓

จุลินทรีย์มี 2 ประเภท
1. ประเภทต้องการอากาศ (Aerobic Bacteria)
2. ประเภทไม่ต้องการอากาศ (Anaerobic Bacteria) 
เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควรต้องมีจุลินทรีย์ทั้ง 2 ประเภทในผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์ชีวภาพ เพื่อให้กระบวนการทำงาน ผลิตสารเอนไซม์ออกฤทธิ์เกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง

☼ ความรู้เรื่องจุลินทรีย์ประจำวัน ☼
✏ microbial 101 : จุลินทรีย์ 101 📓
จุลินทรีย์ สายพันธู์
Pediococcus pentosaceus 
-----------------------------------
สามารถย่อยอินทรีย์สารให้เป็น Lactic Acid และผลิตสารชีวนะ โพลีเปปไตท์ Bacteriocines ที่เรียกว่า Pediocins
มีฤทธิ์ค่าเชื้อแบคทีเรียแกรมลบที่เป็นโทษ: Vibio Cholerae, E.Coli., Samolnella, Pseudomonas Proeus, Clamphylobacter
มีฤทธิ์ค่าเชื้อแบคทีเรียแกรมบวกที่เป็นโทษ: Clostridium Botulinum, Clostridium Perfiengens, Straphyloccus Aereus.
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
Pediococcus pentosaceus are coccus shaped microbes, Gram-positive, non-motile, non-spore forming, and are categorized as a “lactic acid bacteria” [1].
Pediococcus pentosaceus, like most lactic acid bacteria, are anaerobic and ferment sugars. Since the end product of metabolism is a kind of acid, Pediococcus pentosaceus are acid tolerant[1].
Pediococcus pentosaceus bacteria is being cultured and researched for its ability to produce an antimicrobial agent (bacteriocins) as well its use in food preservation [6].

☼ ความรู้เรื่องจุลินทรีย์ประจำวัน ☼
✏ microbial 101 : จุลินทรีย์ 101 📓
จุลินทรีย์ (ยีสต์) สายพันธู์
Pechia Farinosa

ยีสต์ที่พบน้อยมากในธรรมชาติ (พบเพียง 5 จากยีสต์กว่า 10,000 สายพันธุ์)
ผลิตสาร Killer Toxins ที่ทำลายความเป็นพิษ (denature) ของสารพิษอะฟลาท็อกซิน (Aflatoxins), ไมโครท็อกซิน (Microtoxins)และ เอ็นโดท็อกซิน (Endotoxins)
ช่วยลดปริมาณแอมโมเนียที่ถ่ายออกมาพน้อมกับมูลสัตว์ ช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ที่สร้างกรดแลคติคในระบบลำไส้ ช่วยเสริมโปรไบโอติคส์ที่เป็นประโยชนืต่อสุขภาพสัตว์
Pichia farinosa SKM-1, …… proved to be effective in improving the laying performance and egg quality, and they were powerful in reducing the ammonia production from the livestock manure. Futhermore, no adverse effect on the experimental animals has been detected during and/ or after experiments, thus these three yeast strains are regarded to be safe, although we did not present the results on the safety test of the strains. Also, Pichia farinosa SKM- 1, …… have an ability to increase the intestinal lactic acid producing bacteria. These results provide important useful characteristics of these probiotics that are safe for the host as well as being efficient.

วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2560

บำบัดน้ำเสียอย่างมีประสิทธิภาพด้วยจุลินทรีย์ Bio100wwt

Completely Mixed Activated Sludge (CMAS)




โรงงานฟอกย้อมขนาดใหญ่ มีปริมาณน้ำเสียกว่า 2000 คิวต่อวัน สามารถลดงบประมาณการบำบัดน้ำลงมากกว่า 80% โดยที่ผลลัพธ์การตรวจวิเคระห์ระดับความสกปรก BOD COD ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดทุกครั้ง

 

Super Eco-cleaner Microbials

The wonder of microbial and its enzymes ! This one is able to breakdown PET into its liquid state (becoming environmentally friendly chemicals ready for making a new PET bottles)
จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์อีกมากมาย ยังรอให้มนุษย์เราค้นพบ และนำมาใช้รักษาโลก และสภาพแวดล้อมของเรา
i.e. ตัวนี้มีชื่อว่า Ideonella sakaiensis มันสามารถใช้เวลาเพียง 6 สัปดาห๋ย่อยสลายพลาสติก PET ให้เป็นสารเคมีตั้งต้นที่ปลอดภัย และนำไปผลิตขวด PET ใหม่ได้อีก

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Organic Farming

การปลูกพืชแบบออร์แกนิค (organic farming) เริ่มเป็นที่นิยมอย่างแพรหลายมากขึ้น เพราะผู้บริโภคเริ่มเลือกที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีเครื่องหมายออร์แกนิค


การปลูกพืชแบบออร์แกนิค โดยนิยามแล้ว คือการที่ชาวสวนชาวไร่ไม่ใช้ปุ๋ยหรือสารเคมีสังเคราะห์ (synthetic chemical) แต่เลือกใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์ (natural fertilizers) แม้กระทั่ง การจัดการกับศัตรูพืชก็จะเลือกใช้วิธีธรรมชาติ เช่น ปล่อยศัตรูทางธรรมชาติ (natural predators) หรือใช้การสิ่งปกคลุม หรือใช้สารเคมีที่เกิดจากธรรมชาติ(natural occuring chemicals)  และปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม

และมีการปลูกพืชหลายชนิดหมุนเวียน (polyculture) แทนเกษตรเชิงเดี่ยว (monoculture) ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน เพื่อให้ผืนดินมีการฟื้นตัว ทำลายวงจรโรคพืช (disease) และแมลงศัตรูพืช (pests) และช่วยส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ (biodivesity) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและโลก

ส่วนการเลี้ยวสัตว์แบบออร์แกนิค (organic livestock farmings) ก็คือการเลี้ยงสัตว์โดยไม่มีการใช้ฮอร์โมนหรือ สารเร่งทั้งเนื้อหรือปริมาณนม เหมือนอย่างที่ฟาร์มส่วนใหญ่ โดยเฉพาะแบบอินทิเกรด ที่จะให้ทั้งยาปฏิชีวนะและฮอร์โมนเป็นสูตรมาตรฐาน โดยไม่จำเป็นที่ต้องมีข้อบ่งใช้ (สัตว์ไม่มีปัญหาสุขภาพ)  

การเลี้ยงแบบออร์แกนิค ยังรวมถึงการคำนึงถึงสวัสดิภาพสัตว์ ให้สัตว์มีพื้นที่เพียงพอในการเคลื่อนที่ และมีโอกาสออกไปถูกแสงแดดบ้าง

การทำฟาร์มออร์แกนิค ยังลดปัญหาการปนเปื้อนหรือมลพิษจากสารเคมี ไหลลงไปสู่แม่น้ำ หรือแหล่งน้ำใต้ดิน ที่ในที่สุด ก็จะย้อนกลับมาสู่วงจรห่วงโซ่อาหาร (food chain) ส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพของพวกเราทุกคน

สถิติส่าสุด พื้นที่ในโลกที่มีการทำฟาร์มแบบออร์แกนิคมีเพียงแค่ 1% จากการทำฟาร์มทั้งหมด ถ้าคิดเฉพาะในยุโรปที่บริโภคสินค้าออร์แกนิคมากที่สุด ยังมีพื้นที่เพียง 5.7% ที่ทำเกษตรกรรมแบบออร์แกนิค

ข้อมูลสนับสนุนจาก 

วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

โพลีเมอร์อุ้มน้ำ Bio100 h2o สารอุ้มน้ำช่วยเก็บสำรองน้ำ

Bio100 H2O ซุปเปอร์โพลีเมอร์ 


..สร้างบ่อเก็บน้ำใต้ดิน..สำหรับต้นไม้ของคุณ

คือ โพแทสเซียม..สารอุ้มน้ำ..เมื่อสารได้สัมผัสกับน้ำหรือความชื้นในดิน จะดูดน้ำเก็บไว้และขยายตัวเพิ่มขึ้น 200 เท่า เปรียบเสมือนบ่อกักเก็บน้ำไว้ใต้ดิน ...เมื่อฝนตก หรือเรารดน้ำ สารโพลีเมอร์ จะดูดน้ำเก็บไว้...และเมื่อดินแห้ง ฝนขาดช่วงหน้าแล้ง หรือไม่ได้รดน้ำต้นไม้ต่อเนื่อง รากของต้นไม้ก็จะชอนไชไปหาน้ำ หรือความชื้นในสารไพลีเมอร์ที่เราฝังไว้..ต้นไม้จะเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง...ไม่เหี่ยวเฉา อยู่ในสภาพแห้งแล้งได้ต่อไป จนกว่าจะมีการให้น้ำ หรือฝนตกครั้งต่อไป สารโพลีเมอ ก็จะดูกักเก็บน้ำไว้เต็มเหมือนเดิม

เป็นโพลีเมอร์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สามารถนำไปใช้ทำประโยชน์ในกิจกรรมการเกษตรที่หลากหลาย เช่นการปลูกป่า ทำสวนเกษตร ทำไร่นา หรือ สวนผลไม้ ช่วยสำรองน้ำไว้ในดินรอบๆระบบราก ลดการใช้น้ำ จากการลดการสูญเสียน้ำที่ไหลทิ้งโดยไม่เกิประโยชน์ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายต่าน้ำ  และเพิ่มโอกาสรอดให้ต้นกล้าที่เพิ่งลงปลูกใหม่ และเพิ่มผลผลิตให้กับเกษตรกรจากการที่พืชได้รับน้ำสม่ำเสมอ แม้ในช่วงแล้ง


ประโยชน์
  • ใช้ในการปลูกป่าโดยการรองก้นหลุมก่อนปลูกพืชเพื่อเพิ่มอัตราการรอดของต้นกล้าได้ถึง 99%
  • ใช้ในไม้กระถางหรือถุงเพาะชำโดยผสมดิน 6 ส่นและโพลิเนอร์ 1ส่วน
  • ใช้ในการปลูกไม้ผล
  • ใช้ในแปลงพืชไร่ ไม้ประดับ และสนามหญ้า ช่วยลดการเหี่ยวเฉาในช่วงแดดจัด
  • ผสมวัสดุอื่นช่วยประหยัดน้ำในการลดน้ำ และรักษาน้ำให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยผสมโพลิเมอร์ที่เปียกน้ำแล้ว 1-30 กิโลกรัมต่อวัสดุปลูก 1 ลูกบาศก์เมตร หรือ 10 % ของวัสดุปลูก


กิโลกรัมใส่ในถัง200ลิตรเลยใส่น้ำให้เต็มแช่ทิ้งไว้1คืน 

การเตรียมหลุมปลูก
ขุดหลุมแล้วใส่โพลิเมอร์ที่แช่น้ำแล้วลงใส่ลงไป 1-5 ลิตรต่อหลุม แต่ต้องขุดหลุมลึกพอที่จะฝังกลบได้ ที่สำคัญคือต้องกลบให้มิดห้ามโดนแสงเพราะว่าแสงจะทำให้โพลิเมอร์เสื่อมเร็วขึ้น

การดูแลต้นไม้ที่โตแล้ว
ขุดหลุมแล้วใส่โพลิเมอร์ที่แช่น้ำแล้วประมาณ 10 ลิตร/ต้น โดยขุดดินเป็นหลุม 30x30 เซนติเมตร ต้นละ 2-3 หลุม ห่างจากลำต้นประมาณ 1.5 เมตร นำสารอุ้มน้ำ แล้วใส่ลงไปในหลุมที่ขุดให้เต็ม จากนั้นให้รดน้ำ ลงไปในหลุมเดือนละ 1 ครั้ง จะทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้ดี ไม่ชะงักการเจริญเติบโตในช่วงหน้าแล้งเนื่องจากสารอุ้ม

(ในกรณีที่ใช้แบบแห้ง ให้ใส่โพลีเมอร์ 30-50 กรัม/ต้น ลงไปในหลุมปลูกโดยตรง ลึกอย่างน้อย 20 เซนติเมตรก่อนฝังกลบ)

Bio100 H2O ซุปเปอร์โพลีเมอร์

Water Retain Agent (สารอุ้มน้ำ)



SAP สารอุ้มน้ำเป็นโพลีเมอร์ที่มีความสามารถในการดูดซึมน้ำ โดยตัวโพลลีเมอร์จะประกอบไปด้วยโมเลกุล hydrophicic จำนวนมาก ( โมเลกุลชนิดนี้มีคุณสมบัติพิเศษ ที่สามารถดูดน้ำเข้าไปภายในโครงสร้าง โดยมีสนามแม่เหล็กเป็นบวกและลบที่คนละด้านของอะตอม เพื่อดึงดูดโมเลกูลของน้ำ ผ่านกระบวนการ hydrogen bonding ) 

ประสิทธิภาพและความสามารถในการดูดน้ำขึ้นอยู่กับชนิดและคุณสมบัติของตัว cross-linkers และกระบวนการในการผลิต  โดยกระบวนการที่เหมาะสำหรับผลิต SAP  คือต้องทำการ cross-linking method ที่ความหนาแน่นต่ำให้ทั่งถึงอย่าhttps://bio100product.wordpress.com/2017/01/04/bio100-h2o-ซุปเปอร์โพลีเมอร์/งสม่ำเสมอ โดยโพลีเมอร์ที่ได้ จะมีผนังเซลล์ที่อ่อนและเหนียวกว่า สามารถขยายตัวได้หลายร้อยเท่าของขนาดตัว และดูดเก็บน้ำได้ในปริมาณมาก

ตัว SAP โพลีเมอร์สามารถดูดน้ำได้มากถึง 200-300 ท่า ของน้ำหนักตัวภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว และยังสามารถคายน้ำออกมาอย่างช้าๆ โดยกระบวนการนี้จะเกิดขึ้นได้ซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง ขึ้นอยู่กับสภาวะความชื้นภายนอก

เพราะฉนั้น มันจึงเหมาะอย่างยิ่ง ที่จะนำมาใช้เป็นบ่อเก็บน้ำสำรองใต้ดิน โดยนำไปใส่บริเวณใกล้กับรากของพืช เพื่อรักษาสภาวะความชื้นต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพิ่มประสิทธิภาพให้การารักษาน้ำและปุ๋ยในดิน ลดอัตราการใช้น้ำและการใส่ปุ๋ย เพิ่มการหมุนเวียนอากาศในดิน (จากการขยายและหดตัวของโพลีเมอร์ทำให้พืชเจริญเติบโตได้ดีและต่อเนื่อง

ตัว SAP โพลีเมอร์มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า potassium acrylate ซึ่งเป็น acrlamide copolymer ประเภทหนึ่ง   และเนื่องจากมีธาตุหลักเป็น potassium โพแตสเซี่ยม ตัวโพลีเมอร์จึงสามารถย่อยสลายได้อย่างสมบูรณ์ โดยจะค่อยๆสลายกลายเป็น carbon dioxide น้ำ และ nitrogen หลังจากที่ถูกนำไปใช้ และฝังอยู่ในดิน 2-3 ปี 

SAP โพลีเมอร์ จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และปลอดภัยในการใช้งานกับพืชไร่ พืชสวน ทุกชนิด และยังทำให้สภาพดินดีขึ้นในระยะยาว

Bio100 H2O (super polymer)
https://bio100product.wordpress.com/2017/01/04/bio100-h2o-ซุปเปอร์โพลีเมอร์/

วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ผลิตภัณฑ์จุลิทรีย์ Bio100

ผลิตภัณฑ์จุลิทรีย์ / หัวเชื้อจุลินทรีย์ / สารเอนไซม์ ที่มีจำหน่ายในท้องตลาด

สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ
There are two basic types of enzyme-based products. 
จุลินทรีย์ที่มีชีวิต แต่ถูกทำให้หลับ(จำศีล) dormancy or hibernation.
พร้อมฟื้นทันทีที่ได้รับความชื้น และขับเอนไซม์ที่ออกฤทธิ์ ตามสายพันธ์
Active Microbial Enzyme products. This type of product contains actual
strains of bacteria that produce the needed digestive enzymes when added to
organic material.
ตัวเอนไซม์ที่ผลิตหรือสังเคราะห์ในโรงงาน และมีการออกฤทธิ์(ทำงาน)ตั้งแต่ผลิตเสร็จ
และเริ่มมีประสิทธิภาพน้อยลงเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เก็บไว้ก่อนถูกนำไปใช้
‘Enzyme’ based products available today are of the second group,
being Pre-formed Enzymes, which contain only the protein manufactured
enzymes and emulsifiers (no active microbes).

จุลินทรีย์กับสิ่งแวดล้อม

▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒
=============================================
+++++++++++ ✤ ความรู้การเกษตรประจำวัน ✤ +++++++++++
=============================================
▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒ ✤ เรื่อง ✤ ▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒
=============================================
@@@@@@@@@@ ✤ ประโยชน์ของจุลินทรีย์ในด้านต่างๆ ✤ @@@@@@@@@@
=============================================

จุลินทรีย์กับสิ่งแวดล้อม
โลกของเรามีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ มากมาย ก่อให้เกิด
สารพิษตกค้างพวกโลหะหนักหรือสารอินทรีย์ในสิ่งแวดล้อม จุลินทรีย์บางพวก
สามารถย่อยสลายหรือทำให้สารพิษเสื่อมสภาพ จึงมีการนำจุลินทรีย์มาย่อยสลาย
สารอินทรีย์ที่สะสมอยู่โดยเปลี่ยนเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือมีเทน ที่นำไปใช้
เป็นพลังงานได้ คราบน้ำมันในทะเลทำให้สิ่งมีชีวิตในน้ำขึ้นมาหายใจไม่ได้มี
แบคทีเรียหลายชนิดสามารถย่อยคราบน้ำมันหรือทำให้คราบน้ำมันแตกออกเป็นหยด
เล็กๆจมลงสู่ก้นทะเลได้แบคทีเรียในกลุ่มเมธาโนโทรบสามารถสร้างเอนไซม์ในการ
ย่อยสลายคราบน้ำมันตกค้างให้กลายเป็นสารที่ไม่เป็นพิษได้จุลินทรีย์ยังช่วยกำจัดขยะ
พวกวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรและซากสัตว์ต่าง ๆ โดยย่อยสลายวัสดุเหลือทิ้งพวก
สารอนินทรีย์ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส ในดิน เป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมและรักษาสมดุลในธรรมชาติ
สำหรับสารปนเปื้อนในน้ำเสียนั้นสามารถแบ่งได้เป็น 3 ชนิดด้วยกัน คือ
1. สารอินทรีย์จะพบได้ในน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร น้ำเสียจากบ้านเรือน โดยสาร
อินทรีย์จะเป็นสาเหตุให้น้ำเสียนั้นมีค่า BOD (Biological Oxygen Demand) สูง
2. สารอนินทรีย์จะพบได้ในน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมผงซักฟอก น้ำเสียจากบ้านเรือน โดย สา
รอนินทรีย์จะเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้สาหร่ายและวัชพืชเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว เช่น ฟอสฟอรัส และ
ไนโตรเจน
3. จุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค เช่น น้ำเสียที่มาจากโรงพยาบาล อาจจะมีจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคปนเปื้อน
ออกมาเช่น จุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคอุจจาระร่วง ไวรัสตับอักเสบ ดังนั้นการบำบัดน้ำเสียก็คือการกำจัดสิ่ง
ปนเปื้อนต่าง ๆ เช่น สารเคมีและจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในน้ำเสียให้เหลือน้อยที่สุดที่จะไม่เป็นอันตรายเมื่อปล่อยลงสู่
แหล่งน้ำสาธารณะ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง

ตัวอย่างจุลินทรีย์ที่ช่วยในการบำบัดน้ำเสีย ได้แก่
– จุลินทรีย์พวก Aerobic เป็นจุลินทรีย์ที่ต้องการอากาศในการเจริญและจะเจริญอยู่ด้านบน จุลินทรีย์กลุ่ม
นี้จะช่วยย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำเสียให้เป็นคาร์บอเนต ไนเตรต แอมโมเนีย ฟอสเฟตและซัลเฟต
เช่น แบคทีเรียพวกPseudomonas, Zoogloea เป็นจุลินทรีย์พวก Heterotrophic ส่วนเชื้อราก็จะเป็นพวก
Fusarium, Ascoidea, Trisporon สำหรับจุลินทรีย์ที่เจริญในชั้นล่างส่วนใหญ่จะเป็นพวก Autotrophic
nitrifying bacteria เช่น Nitrosomonas ซึ่งจะ oxidize แอมโมเนียไปเป็นไนไตรต และ Nitrobacter จะ
oxidize ไนไตรตไปเป็นไนเตรต
– จุลินทรีย์กลุ่ม Anaerobic เป็นจุลินทรีย์พวกนี้ไม่ต้องการใช้ออกซิเจนเพื่อการเจริญ จุลินทรีย์กลุ่มนี้จะ
ช่วยย่อยตะกอนที่เหลือจากกลุ่ม Aerobic
– จุลินทรีย์กลุ่ม Acid-forming เป็นพวก obligate aerobes ซึ่งจะใช้ไนเตรตเป็น electron
– จุลินทรีย์กลุ่ม Methane-forming ส่วนใหญ่จะเป็นจุลินทรีย์พวก strictly anaerobes เช่น
Methanobacterium Methanobacillus และ Methanococcus ซึ่งจะสามารถเปลี่ยนอะซิเตตไฮไดรเจน และ
คาร์บอนไดออกไซด์ ให้เป็น มีเทน (CH4) ได้
สาหร่ายบางชนิด เช่น Nostoc muscorum , Nostoc paludosum สามารถดึงไนโตรเจนและดึงสารประกอบ
พวกปูนออกจากน้ำเป็นการช่วยลดความกระด้างของน้ำทำให้พืชเจริญได้ดีเมื่อสาหร่ายตายก็จะกลายเป็นปุ๋ยทำ
ให้ดินสามารถอุ้มน้ำได้ดีขึ้น และช่วยป้องกันการกัดเซาะของผิวดิน

วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2560

หยุดทำร้ายตัวเองกันเถอะ เกษตรกรต้องเรียนรู้ ให้ทันข้อมูล 
🚫 อย่าตกเป็นเหยื่อและเครื่องมือของ พวกบริษัทขายยาที่ไร้จรรยาบรรณ และขาดจิตสำนึกอย่างรุนแรง 




ฟาร์มหมูแถบสุพรรณบุรีหลายแห่ง ลักลอบให้ยาเถื่อน กลุ่มยาปฏิชีวนะกลุ่มโคลิสติน ซึ่งเป็นยาฆ่าเชื้อ ซึ่งเป็นยาด่านสุดท้ายที่สำคัญมากในการรักษาเชื้อแบคทีเรียดื้อยาของมนุษย์ มาให้หมูกินแบบพร่ำเพรื่อ  

ซึ่งหากมีการแพร่เชื้อดื้อยาโคลิสตินจากฟาร์มหมู อาจเป็นสาเหตุให้จำนวนผู้เสียชีวิตมีเพิ่มมากขึ้นในอนาคตได้ โดยเฉพาะการแพร่กระจายจากเล้าหมูออกไปปะปนสู่ดิน หรือลำน้ำสาธารณะบริเวณใกล้เคียงฟาร์มหมู

อ้างอิงจาก
http://www.komchadluek.net/news/regional/257217