วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Organic Farming

การปลูกพืชแบบออร์แกนิค (organic farming) เริ่มเป็นที่นิยมอย่างแพรหลายมากขึ้น เพราะผู้บริโภคเริ่มเลือกที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีเครื่องหมายออร์แกนิค


การปลูกพืชแบบออร์แกนิค โดยนิยามแล้ว คือการที่ชาวสวนชาวไร่ไม่ใช้ปุ๋ยหรือสารเคมีสังเคราะห์ (synthetic chemical) แต่เลือกใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์ (natural fertilizers) แม้กระทั่ง การจัดการกับศัตรูพืชก็จะเลือกใช้วิธีธรรมชาติ เช่น ปล่อยศัตรูทางธรรมชาติ (natural predators) หรือใช้การสิ่งปกคลุม หรือใช้สารเคมีที่เกิดจากธรรมชาติ(natural occuring chemicals)  และปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม

และมีการปลูกพืชหลายชนิดหมุนเวียน (polyculture) แทนเกษตรเชิงเดี่ยว (monoculture) ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน เพื่อให้ผืนดินมีการฟื้นตัว ทำลายวงจรโรคพืช (disease) และแมลงศัตรูพืช (pests) และช่วยส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ (biodivesity) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและโลก

ส่วนการเลี้ยวสัตว์แบบออร์แกนิค (organic livestock farmings) ก็คือการเลี้ยงสัตว์โดยไม่มีการใช้ฮอร์โมนหรือ สารเร่งทั้งเนื้อหรือปริมาณนม เหมือนอย่างที่ฟาร์มส่วนใหญ่ โดยเฉพาะแบบอินทิเกรด ที่จะให้ทั้งยาปฏิชีวนะและฮอร์โมนเป็นสูตรมาตรฐาน โดยไม่จำเป็นที่ต้องมีข้อบ่งใช้ (สัตว์ไม่มีปัญหาสุขภาพ)  

การเลี้ยงแบบออร์แกนิค ยังรวมถึงการคำนึงถึงสวัสดิภาพสัตว์ ให้สัตว์มีพื้นที่เพียงพอในการเคลื่อนที่ และมีโอกาสออกไปถูกแสงแดดบ้าง

การทำฟาร์มออร์แกนิค ยังลดปัญหาการปนเปื้อนหรือมลพิษจากสารเคมี ไหลลงไปสู่แม่น้ำ หรือแหล่งน้ำใต้ดิน ที่ในที่สุด ก็จะย้อนกลับมาสู่วงจรห่วงโซ่อาหาร (food chain) ส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพของพวกเราทุกคน

สถิติส่าสุด พื้นที่ในโลกที่มีการทำฟาร์มแบบออร์แกนิคมีเพียงแค่ 1% จากการทำฟาร์มทั้งหมด ถ้าคิดเฉพาะในยุโรปที่บริโภคสินค้าออร์แกนิคมากที่สุด ยังมีพื้นที่เพียง 5.7% ที่ทำเกษตรกรรมแบบออร์แกนิค

ข้อมูลสนับสนุนจาก 

วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

โพลีเมอร์อุ้มน้ำ Bio100 h2o สารอุ้มน้ำช่วยเก็บสำรองน้ำ

Bio100 H2O ซุปเปอร์โพลีเมอร์ 


..สร้างบ่อเก็บน้ำใต้ดิน..สำหรับต้นไม้ของคุณ

คือ โพแทสเซียม..สารอุ้มน้ำ..เมื่อสารได้สัมผัสกับน้ำหรือความชื้นในดิน จะดูดน้ำเก็บไว้และขยายตัวเพิ่มขึ้น 200 เท่า เปรียบเสมือนบ่อกักเก็บน้ำไว้ใต้ดิน ...เมื่อฝนตก หรือเรารดน้ำ สารโพลีเมอร์ จะดูดน้ำเก็บไว้...และเมื่อดินแห้ง ฝนขาดช่วงหน้าแล้ง หรือไม่ได้รดน้ำต้นไม้ต่อเนื่อง รากของต้นไม้ก็จะชอนไชไปหาน้ำ หรือความชื้นในสารไพลีเมอร์ที่เราฝังไว้..ต้นไม้จะเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง...ไม่เหี่ยวเฉา อยู่ในสภาพแห้งแล้งได้ต่อไป จนกว่าจะมีการให้น้ำ หรือฝนตกครั้งต่อไป สารโพลีเมอ ก็จะดูกักเก็บน้ำไว้เต็มเหมือนเดิม

เป็นโพลีเมอร์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สามารถนำไปใช้ทำประโยชน์ในกิจกรรมการเกษตรที่หลากหลาย เช่นการปลูกป่า ทำสวนเกษตร ทำไร่นา หรือ สวนผลไม้ ช่วยสำรองน้ำไว้ในดินรอบๆระบบราก ลดการใช้น้ำ จากการลดการสูญเสียน้ำที่ไหลทิ้งโดยไม่เกิประโยชน์ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายต่าน้ำ  และเพิ่มโอกาสรอดให้ต้นกล้าที่เพิ่งลงปลูกใหม่ และเพิ่มผลผลิตให้กับเกษตรกรจากการที่พืชได้รับน้ำสม่ำเสมอ แม้ในช่วงแล้ง


ประโยชน์
  • ใช้ในการปลูกป่าโดยการรองก้นหลุมก่อนปลูกพืชเพื่อเพิ่มอัตราการรอดของต้นกล้าได้ถึง 99%
  • ใช้ในไม้กระถางหรือถุงเพาะชำโดยผสมดิน 6 ส่นและโพลิเนอร์ 1ส่วน
  • ใช้ในการปลูกไม้ผล
  • ใช้ในแปลงพืชไร่ ไม้ประดับ และสนามหญ้า ช่วยลดการเหี่ยวเฉาในช่วงแดดจัด
  • ผสมวัสดุอื่นช่วยประหยัดน้ำในการลดน้ำ และรักษาน้ำให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยผสมโพลิเมอร์ที่เปียกน้ำแล้ว 1-30 กิโลกรัมต่อวัสดุปลูก 1 ลูกบาศก์เมตร หรือ 10 % ของวัสดุปลูก


กิโลกรัมใส่ในถัง200ลิตรเลยใส่น้ำให้เต็มแช่ทิ้งไว้1คืน 

การเตรียมหลุมปลูก
ขุดหลุมแล้วใส่โพลิเมอร์ที่แช่น้ำแล้วลงใส่ลงไป 1-5 ลิตรต่อหลุม แต่ต้องขุดหลุมลึกพอที่จะฝังกลบได้ ที่สำคัญคือต้องกลบให้มิดห้ามโดนแสงเพราะว่าแสงจะทำให้โพลิเมอร์เสื่อมเร็วขึ้น

การดูแลต้นไม้ที่โตแล้ว
ขุดหลุมแล้วใส่โพลิเมอร์ที่แช่น้ำแล้วประมาณ 10 ลิตร/ต้น โดยขุดดินเป็นหลุม 30x30 เซนติเมตร ต้นละ 2-3 หลุม ห่างจากลำต้นประมาณ 1.5 เมตร นำสารอุ้มน้ำ แล้วใส่ลงไปในหลุมที่ขุดให้เต็ม จากนั้นให้รดน้ำ ลงไปในหลุมเดือนละ 1 ครั้ง จะทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้ดี ไม่ชะงักการเจริญเติบโตในช่วงหน้าแล้งเนื่องจากสารอุ้ม

(ในกรณีที่ใช้แบบแห้ง ให้ใส่โพลีเมอร์ 30-50 กรัม/ต้น ลงไปในหลุมปลูกโดยตรง ลึกอย่างน้อย 20 เซนติเมตรก่อนฝังกลบ)

Bio100 H2O ซุปเปอร์โพลีเมอร์

Water Retain Agent (สารอุ้มน้ำ)



SAP สารอุ้มน้ำเป็นโพลีเมอร์ที่มีความสามารถในการดูดซึมน้ำ โดยตัวโพลลีเมอร์จะประกอบไปด้วยโมเลกุล hydrophicic จำนวนมาก ( โมเลกุลชนิดนี้มีคุณสมบัติพิเศษ ที่สามารถดูดน้ำเข้าไปภายในโครงสร้าง โดยมีสนามแม่เหล็กเป็นบวกและลบที่คนละด้านของอะตอม เพื่อดึงดูดโมเลกูลของน้ำ ผ่านกระบวนการ hydrogen bonding ) 

ประสิทธิภาพและความสามารถในการดูดน้ำขึ้นอยู่กับชนิดและคุณสมบัติของตัว cross-linkers และกระบวนการในการผลิต  โดยกระบวนการที่เหมาะสำหรับผลิต SAP  คือต้องทำการ cross-linking method ที่ความหนาแน่นต่ำให้ทั่งถึงอย่าhttps://bio100product.wordpress.com/2017/01/04/bio100-h2o-ซุปเปอร์โพลีเมอร์/งสม่ำเสมอ โดยโพลีเมอร์ที่ได้ จะมีผนังเซลล์ที่อ่อนและเหนียวกว่า สามารถขยายตัวได้หลายร้อยเท่าของขนาดตัว และดูดเก็บน้ำได้ในปริมาณมาก

ตัว SAP โพลีเมอร์สามารถดูดน้ำได้มากถึง 200-300 ท่า ของน้ำหนักตัวภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว และยังสามารถคายน้ำออกมาอย่างช้าๆ โดยกระบวนการนี้จะเกิดขึ้นได้ซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง ขึ้นอยู่กับสภาวะความชื้นภายนอก

เพราะฉนั้น มันจึงเหมาะอย่างยิ่ง ที่จะนำมาใช้เป็นบ่อเก็บน้ำสำรองใต้ดิน โดยนำไปใส่บริเวณใกล้กับรากของพืช เพื่อรักษาสภาวะความชื้นต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพิ่มประสิทธิภาพให้การารักษาน้ำและปุ๋ยในดิน ลดอัตราการใช้น้ำและการใส่ปุ๋ย เพิ่มการหมุนเวียนอากาศในดิน (จากการขยายและหดตัวของโพลีเมอร์ทำให้พืชเจริญเติบโตได้ดีและต่อเนื่อง

ตัว SAP โพลีเมอร์มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า potassium acrylate ซึ่งเป็น acrlamide copolymer ประเภทหนึ่ง   และเนื่องจากมีธาตุหลักเป็น potassium โพแตสเซี่ยม ตัวโพลีเมอร์จึงสามารถย่อยสลายได้อย่างสมบูรณ์ โดยจะค่อยๆสลายกลายเป็น carbon dioxide น้ำ และ nitrogen หลังจากที่ถูกนำไปใช้ และฝังอยู่ในดิน 2-3 ปี 

SAP โพลีเมอร์ จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และปลอดภัยในการใช้งานกับพืชไร่ พืชสวน ทุกชนิด และยังทำให้สภาพดินดีขึ้นในระยะยาว

Bio100 H2O (super polymer)
https://bio100product.wordpress.com/2017/01/04/bio100-h2o-ซุปเปอร์โพลีเมอร์/

วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ผลิตภัณฑ์จุลิทรีย์ Bio100

ผลิตภัณฑ์จุลิทรีย์ / หัวเชื้อจุลินทรีย์ / สารเอนไซม์ ที่มีจำหน่ายในท้องตลาด

สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ
There are two basic types of enzyme-based products. 
จุลินทรีย์ที่มีชีวิต แต่ถูกทำให้หลับ(จำศีล) dormancy or hibernation.
พร้อมฟื้นทันทีที่ได้รับความชื้น และขับเอนไซม์ที่ออกฤทธิ์ ตามสายพันธ์
Active Microbial Enzyme products. This type of product contains actual
strains of bacteria that produce the needed digestive enzymes when added to
organic material.
ตัวเอนไซม์ที่ผลิตหรือสังเคราะห์ในโรงงาน และมีการออกฤทธิ์(ทำงาน)ตั้งแต่ผลิตเสร็จ
และเริ่มมีประสิทธิภาพน้อยลงเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เก็บไว้ก่อนถูกนำไปใช้
‘Enzyme’ based products available today are of the second group,
being Pre-formed Enzymes, which contain only the protein manufactured
enzymes and emulsifiers (no active microbes).

จุลินทรีย์กับสิ่งแวดล้อม

▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒
=============================================
+++++++++++ ✤ ความรู้การเกษตรประจำวัน ✤ +++++++++++
=============================================
▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒ ✤ เรื่อง ✤ ▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒▒
=============================================
@@@@@@@@@@ ✤ ประโยชน์ของจุลินทรีย์ในด้านต่างๆ ✤ @@@@@@@@@@
=============================================

จุลินทรีย์กับสิ่งแวดล้อม
โลกของเรามีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ มากมาย ก่อให้เกิด
สารพิษตกค้างพวกโลหะหนักหรือสารอินทรีย์ในสิ่งแวดล้อม จุลินทรีย์บางพวก
สามารถย่อยสลายหรือทำให้สารพิษเสื่อมสภาพ จึงมีการนำจุลินทรีย์มาย่อยสลาย
สารอินทรีย์ที่สะสมอยู่โดยเปลี่ยนเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือมีเทน ที่นำไปใช้
เป็นพลังงานได้ คราบน้ำมันในทะเลทำให้สิ่งมีชีวิตในน้ำขึ้นมาหายใจไม่ได้มี
แบคทีเรียหลายชนิดสามารถย่อยคราบน้ำมันหรือทำให้คราบน้ำมันแตกออกเป็นหยด
เล็กๆจมลงสู่ก้นทะเลได้แบคทีเรียในกลุ่มเมธาโนโทรบสามารถสร้างเอนไซม์ในการ
ย่อยสลายคราบน้ำมันตกค้างให้กลายเป็นสารที่ไม่เป็นพิษได้จุลินทรีย์ยังช่วยกำจัดขยะ
พวกวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรและซากสัตว์ต่าง ๆ โดยย่อยสลายวัสดุเหลือทิ้งพวก
สารอนินทรีย์ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส ในดิน เป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมและรักษาสมดุลในธรรมชาติ
สำหรับสารปนเปื้อนในน้ำเสียนั้นสามารถแบ่งได้เป็น 3 ชนิดด้วยกัน คือ
1. สารอินทรีย์จะพบได้ในน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร น้ำเสียจากบ้านเรือน โดยสาร
อินทรีย์จะเป็นสาเหตุให้น้ำเสียนั้นมีค่า BOD (Biological Oxygen Demand) สูง
2. สารอนินทรีย์จะพบได้ในน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมผงซักฟอก น้ำเสียจากบ้านเรือน โดย สา
รอนินทรีย์จะเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้สาหร่ายและวัชพืชเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว เช่น ฟอสฟอรัส และ
ไนโตรเจน
3. จุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค เช่น น้ำเสียที่มาจากโรงพยาบาล อาจจะมีจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคปนเปื้อน
ออกมาเช่น จุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคอุจจาระร่วง ไวรัสตับอักเสบ ดังนั้นการบำบัดน้ำเสียก็คือการกำจัดสิ่ง
ปนเปื้อนต่าง ๆ เช่น สารเคมีและจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในน้ำเสียให้เหลือน้อยที่สุดที่จะไม่เป็นอันตรายเมื่อปล่อยลงสู่
แหล่งน้ำสาธารณะ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง

ตัวอย่างจุลินทรีย์ที่ช่วยในการบำบัดน้ำเสีย ได้แก่
– จุลินทรีย์พวก Aerobic เป็นจุลินทรีย์ที่ต้องการอากาศในการเจริญและจะเจริญอยู่ด้านบน จุลินทรีย์กลุ่ม
นี้จะช่วยย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำเสียให้เป็นคาร์บอเนต ไนเตรต แอมโมเนีย ฟอสเฟตและซัลเฟต
เช่น แบคทีเรียพวกPseudomonas, Zoogloea เป็นจุลินทรีย์พวก Heterotrophic ส่วนเชื้อราก็จะเป็นพวก
Fusarium, Ascoidea, Trisporon สำหรับจุลินทรีย์ที่เจริญในชั้นล่างส่วนใหญ่จะเป็นพวก Autotrophic
nitrifying bacteria เช่น Nitrosomonas ซึ่งจะ oxidize แอมโมเนียไปเป็นไนไตรต และ Nitrobacter จะ
oxidize ไนไตรตไปเป็นไนเตรต
– จุลินทรีย์กลุ่ม Anaerobic เป็นจุลินทรีย์พวกนี้ไม่ต้องการใช้ออกซิเจนเพื่อการเจริญ จุลินทรีย์กลุ่มนี้จะ
ช่วยย่อยตะกอนที่เหลือจากกลุ่ม Aerobic
– จุลินทรีย์กลุ่ม Acid-forming เป็นพวก obligate aerobes ซึ่งจะใช้ไนเตรตเป็น electron
– จุลินทรีย์กลุ่ม Methane-forming ส่วนใหญ่จะเป็นจุลินทรีย์พวก strictly anaerobes เช่น
Methanobacterium Methanobacillus และ Methanococcus ซึ่งจะสามารถเปลี่ยนอะซิเตตไฮไดรเจน และ
คาร์บอนไดออกไซด์ ให้เป็น มีเทน (CH4) ได้
สาหร่ายบางชนิด เช่น Nostoc muscorum , Nostoc paludosum สามารถดึงไนโตรเจนและดึงสารประกอบ
พวกปูนออกจากน้ำเป็นการช่วยลดความกระด้างของน้ำทำให้พืชเจริญได้ดีเมื่อสาหร่ายตายก็จะกลายเป็นปุ๋ยทำ
ให้ดินสามารถอุ้มน้ำได้ดีขึ้น และช่วยป้องกันการกัดเซาะของผิวดิน